ผมขอให้กำลังใจครับ ผู้มีอาการแพนิคไม่ได้หมายความว่า คุณกำลังจะเป็นบ้าหรือผิดปกติอะไรมากมาย มันมีเหตุหลายอย่างให้เป็นแบบนั้นเอง และเหตุนั้นสะสมมาเป็นเวลานาน จนกลายเป็นอาการแพนิค
ที่จริงแล้ว คุณกำลังโดนกลไลของร่างกายกำลังหลอกอยู่ครับ ว่าเรากำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วเราก็เผลอเชื่อแบบนั้นจริงๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงความไม่สบายกายและใจเท่านั้น และยิ่งเราอยากจะทำให้อาการไม่สบายเหล่านั้นหายไปมากเท่าไร อาการแพนิคมันก็จะเกิดขึ้นรุนแรงมากเท่านั้น ความยากมันอยู่ตรงนี้ หากเราใช้ชีวิตอย่างเข้าใจและเท่าทันอาการตนเอง และปฎิบัติตนในแนวนี้ เชื่อว่า อาการแพนิคน่าจะบรรเทาลงได้ไม่มากก็น้อยนะครับ และผมก็ยังเป็นผู้ที่ยังเดินอยู่ในเส้นทางการรักษา
ปรับความคาดหวังหรือเป้าหมายในชีวิตให้สอดคล้อง กับกำลังและความสามารถของตัวเอง ไม่ถูกดึงไปตามกระแสวัตถุนิยมมากเกินไป
สังเกตสัญญาณแพนิคอ่อนๆ เช่นรู้สึกถึงความสั่นไหวในร่างกายน้อยๆ รู้สึกหวิวๆ หายใจตื้นลง แล้วให้เริ่มรับมือกับอาการแพนิค เริ่มจากการยอมรับอาการนั้นอย่างตรงไปตรงมา แล้วเฝ้าดูรอให้อาการผ่านไป
ดูแลร่างกายจิตใจให้ดี รู้จักพักผ่อน ฝึกหยุดให้เป็น หมั่นเจริญสติ นำหลักการทางศาสนามาปรับใช้ ทั้ง พุทธ คริสต์ หรืออิสลาม
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ยิ้ม หัวเราะ มีเมตตา ให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเองเสมอๆ
หากจำเป็นต้องรับประทานยา ก็ขอให้รับประทานด้วยความรู้สึกขอบคุณกับยาอย่างจริงใจ ไม่ถามว่าทำไมฉันจึงต้องรับประทานยา ไม่โทษตนเอง
ฝึกยอมรับทั้งข้อดีและด้อย ของตนเองและผู้อื่นอย่างจริงใจ ฝึกใจดีกับตัวเอง คิดถึงข้อดีของตนเองเสมอๆ
แบ่งปัน ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นตามกำลังตน และ ระวังที่จะทำเพื่อผู้อื่นมากเกินไป ใจดีต่อผู้อื่นมากไป โดยเผลอเบียดเบียนตนเอง ช่วยเหลือผู้อื่นจนตัวเราสะสมความเครียดโดยไม่รู้ตัว
ผมคิดว่าการที่จะรักษาตนเอง ควรทำในทั้ง4 มิติ คือ กาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์
ขอบคุณสิ่งรอบตัวเสมอ มองหาสิ่งดีๆที่ซ่อนอยู่ และชื่นชมกับสิ่งที่ดีนั้น
ใช้เวลาคุณภาพกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงบ่อย ๆ เล่นสื่อโซเชียลให้น้อยลง
สวดภาวนาตามรูปแบบศาสนาที่ตนนับถือ ระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ตนรู้สึกมั่นคงปลอดภัย